SAP TechEd 2019


SAP TechEd คืองาน conference ที่จะโฟกัสไปที่ Technology ต่างๆที่เกี่ยวกับ SAP โดยในปีนี้ SAP จัดงานขึ้น 3 ที่ทั่วโลกคือ Las Vegas, Barcelona, และ Bangalore พอดีที่บริษัทส่งมางานที่ Barcelona Blog นี้จะเล่าให้ฟังว่างานมันเป็นยังไงครับ

รูปแบบของงาน

เป็นงาน Conference 3 วัน โดยวันแรกจะเริ่มต้นด้วย Keynote และหลังจากนั้นจะเป็นกิจกรรมย่อยๆ โดยผู้ร่วมงานสามารถเลือกเองได้ ว่าสนใจหัวข้อไหน และอยากทำกิจกรรมอะไรบ้าง โดยกิจกรรมก็เช่น

  • Lecture – จะมีคนมาพูดเรานั่งฟังเฉย
  • Hands-on workshop – ให้คอมคนละเครื่อง และนั่งทำ exercise ร่วมกัน
  • Lighting Talk – พูดๆ สร้าง inspiration
  • Code Review – ก็มานั่ง review code ละ share กัน
  • Demo, Meetup, Design Thinking

แล้วก็ยังมีที่เรียกว่า Developer Garage ให้ developer ไปลองเขียนโค้ด ใช้ tool & technology ใหม่ๆของ SAP และ Partner

SAP Booth
Partner

Keynote

ตอนแรกแอบหวังว่าจะเป็นแบบเว่อร์วัง คล้ายๆของ Apple แต่ไม่ครับ SAP ก็มาแนว SAP SAP เหมือนเดิม

Theme ปีนี้คือ The Technical Foundation of the Intelligence Enterprise ซึ่ง SAP บอกว่าในองค์กรเราเนี่ยจะมีข้อมูล 2 ประเภทคือ O Data และ X Data

O Data tell you what happened. X Data tell you why it happened.

ซึ่ง SAP ก็จะโฟกัสไปที่สีฟ้าๆตรงกลาง และเรียกรวมสิ่งเหล่านี้ว่า Business Technology Platform

รู้สึกว่าปีนี้ SAP นำเสนอพวก Analytic Solution ค่อนข้างเยอะ ใน keynote นี่มีแต่ SAP Analytic Cloud เต็มไปหมดเลย

หลังจากจบ Keynote ก็จะเป็นพวก Session ต่างๆ ขอเล่าบางอันที่คิดว่าน่าสนใจละกัน

ABAP Strategy

คุณยังเป็นอาบับ 1.0 อยู่รึป่าว ได้เวลาเปลี่ยนมาเป็น ABAPer 4.0 ได้แล้วครับ 😂

หลักๆเลย session นี้ SAP บอกว่า SAP กำลังก้าวเข้าสู่โลกของ S/4HANA และ ภาษา ABAP ก็เช่นกันโดย ABAP ที่อยู่บน ECC (7.5x) จะได้แค่ improvement ส่วน (new) ABAP Platform ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาบน codebase เดียวกันใช้ทั้งใน S/4HANA และบน Cloud จะเป็นส่วนหลักที่ SAP จะพัฒนาต่อๆไป

โดยสิ่งที่ ABAPer 4.0 ควรเรียนรู้เพิ่มเติมก็จะเป็นพวกเรื่อง Fiori, ABAP RESTful Programming Model, CDS, ADT (Eclipse), และ Cloud

Cloud Cloud Cloud และ Cloud

เมื่อโลกไป Cloud SAP ก็ตัองไป Cloud ปีนี้น่าจะเป็นอีกปีที่เน้นเรื่อง Cloud ค่อนข้างมาก จะเห็นว่าอะไรใหม่ๆ จะมาใน Cloud ก่อนเสมอแล้วค่อยลงมาใน on premise สำหรับ Developer 4.0 อย่างเราๆ การที่ SAP ย้ายสิ่งต่างๆไปอยู่บน Cloud หมายความว่า Technology Stack ของเราจะเปลี่ยนไป

จากรูปจะเห็นว่าสิ่งที่ SAP มองว่าเป็น Enterprise Stack จะเป็น multi-cloud infrastructure หมายความว่าเราจะเอา app ของเราไว้กับ cloud provider เจ้าไหนก็ได้ แต่ SAP จะ provide business layer บนๆใน SAP Cloud Platform (SCP)

นั่นหมายความว่า Programming Model ของเราจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่ทำโปรแกรมใน SE38 ไปใช้ DDIC ใน SE11 เราคงต้องไปสร้าง app เราบน open runtimes แทน โดยพวกเราก็ยังมี 3 ทางเลือกหลักๆคือ

  1. ABAP RESTful Programming Model เป็นทางเลือกที่เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด เพราะ SAP เอาภาษา ABAP ขึ้น Cloud ให้เราใช้ แต่ก็จะปรับแต่งได้น้อยสุดเช่นกัน ถ้าเราเลือกมาทางนี้ หมายความว่าเรายกให้ SCP จัดการเรื่องพวก Container, memory, bha bha bha และเราโฟกัสไปที่การ Develop app อย่างเดียว
  2. Cloud Application Programming Model เป็นทางสายกลาง คือเราสามารถพัฒนาโปรแกรมด้วย node.js หรือว่า java ได้ แต่ตัว SCP ช่วยจัดการด้าน Ops อยู่พอสมควร
  3. Cloud Native อันนี้สุดไปทาง open source stack คือเราทำอะไรก็ได้ ด้วยภาษาอะไรก็ได้ สร้าง container ยังไงก็ได้ ขอให้สุดท้ายนำไปรันบน Cloud ได้ก็พอ

ในส่วนของ IDE และ tools ต่างๆ ส่วนตัวมองว่า SAP ก็ยังงงในตัวเองอยู่พอสมควร ว่าสุดท้ายแล้วจะใช้อะไร WebIDE, Eclipse, หรือ VS Code ในงาน SAP ให้ลอง IDE ตัวใหม่ ชื่อว่า SAP Application Studio หรือว่าคือการเอา VS Code มารันบน cloud เท่านั้นเอง

มี Terminal ด้วยนะ รัน npm หรืออะไรได้เหมือนคนอื่นเลย

SAPUI5, Fiori, Fiori 3.0

Fiori 3.0 is coming สรุปสั้นๆว่า SAP น่าจะยังคงให้ความสำคัญกับ Fiori เค้าบอกว่า product ใหม่ๆ จะทำออกมาในแนว Fiori 3 ทั้งหมด รวมถึง product ต่างๆที่ SAP ไปซื้อมาเช่น success factor ก็จะมา redesign ให้ออกมาได้ Fiori UX เช่นกัน

  • นางเครมว่า Fiori 3.0 เนี่ยมี Full backward compatibility นะจ๊ะ เดี๊ยวจะรอดู!
  • App ใหม่ๆจะทำออกมาแนว Fiori element เป็นหลัก

DevOps in ABAP

เหมือน SAP เริ่มจริงจังมากขึ้น ออกของชื่อว่า gCTS หรือการ integrate git เข้ามาใน ABAP development process

ซึ่งตัว gCTS ก็จะเป็นคล้ายๆ Web Interface ที่ช่วยเรา connect git และ SAP systems เข้าด้วยกัน

หลังจากนั้นขั้นตอนก็เหมือนเราแก้โปรแกรม และ save ลง transport ปกติ แต่พอเรา release task SAP ก็จะ trigger git commit ให้ พร้อมทั้ง run CI pipeline บน Jenkins!

ซึ่ง Jenkins ก็จะไปรัน test cases ที่เราเขียน และบอกว่า code ที่เพิ่ง commit ไปทำให้อะไรมีปัญหาไหม ถ้าไม่มีปัญหาเราก็สามารถ Deploy ลง QA system หรือ PRD system ได้เลยทีเดียว!!

Analytic

เรียนรู้ไว้เถอะ น่าจะดี ไม่ว่าจะเป็น S/4HANA embedded analytic หรือจะเป็นพวก SAP Analytic Cloud ถูกเอามานำเสนอเยอะมากใน keynote

บรรยากาศในงาน

สุดท้าย ถ้ามีข้อมูลใดคลาดเคลื่อนต้องขออภัยด้วยนะครับ เชิญ comment แลกเปลี่ยนกันได้เลย